(Sep 22nd , 2015)
Conditional sentences หรือที่หลายคนรู้จักในนาม
if-clause คือ ประโยคเงื่อนไข ประกอบด้วยอนุประโยค
(ประโยคย่อย) สองประโยค ประโยคหนึ่งขึ้นต้นด้วยคำว่า If กับอีกประโยคหนึ่งมีหน้าตาเหมือนประโยคสมบูรณ์ทั่วไป สังเกตว่า อนุประโยคสองประโยคนี้สลับที่กันได้
จะยกประโยคไหนขึ้นต้นก็ได้ แล้วแต่การเน้นและความหมาย if-clause มี 4 แบบ
แบบที่ 1 : ZERO Conditional Sentences ใช้สำหรับพูดถึงความจริงทั่วไป โดยใช้ present
simple ในอนุประโยคทั้งสองประโยค
If + present simple, .... present
simple. (คนไทยมักจะเขียนว่า If + subject +
V1, subject + V1)
ประโยคแบบ zero conditional sentences ใช้พูดถึงกรณีที่ถ้าเกิดสิ่งหนึ่ง
ต้องเกิดอีกสิ่งหนึ่งเสมอ เช่น If water
reaches 100 degrees, it boils. เมื่ออุณหภูมิน้ำสูงเท่ากับ 100 องศาเซลเซียส น้ำจะเดือดเสมอ หรือ If I
eat peanuts, I am sick. ถ้าฉันกินถั่วลิสงฉันจะแพ้ ซึ่งประโยคลักษณะนี้
เราจะใช้คำว่า when (เมื่อ) แทน if ก็ได้
ตัวอย่างเพิ่มเติม
If people eat too much, they get
fat. ถ้ากินมากจะอ้วน
If you touch a fire, you get burned.
ถ้าแตะไฟก็จะโดนลวก
People die if they don't eat. คนเราจะตายถ้าไม่กินอาหาร
You get water if you mix hydrogen
and oxygen. ถ้ารวมไฮโดรเจนกับอ๊อกซิเจนจะได้น้ำ
Snakes bite if they are scared. งูจะกัดเวลารู้สึกกลัว
If babies are hungry, they cry. ทารกจะร้องไห้ถ้ารู้สึกหิว
Zero conditional sentences จะใช้พูดถึงเรื่องจริงทั่วๆไป
แต่ conditional sentences แบบต่อไปจะพูดถึงเหตุการณ์เฉพาะค่ะ
แบบที่ 2: FIRST Conditional Sentences ใช้สำหรับพูดว่าถ้าสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น
อีกสิ่งหนึ่งจะเกิดขึ้นหรืออาจจะเกิดขึ้น โดยใช้ If +
present simple แล้วตามด้วย future simple
if + present simple, ... will +
infinitive (คนไทยมักจะเขียนว่า If + subject +
V1, subject + will/be going to + V1
ใช้พูดถึงเหตุการณ์เฉพาะซึ่งอาจเป็นไปได้ หรือผู้พูดคิดว่าจะเกิดขึ้น
เช่น
If it rains, I won't go to the park.
ถ้าฝนตก ฉันจะไม่ไปสวนสาธารณะ
If I study today, I'll go to the
party tonight. ถ้าวันนี้ฉันอ่านหนังสือ
คืนนี้จะไปปาร์ตี้
If I have enough money, I'll buy
some new shoes. ถ้ามีเงินพอ
ฉันจะซื้อรองเท้าใหม่
She'll be late if the train is
delayed. เธอจะไปสายถ้ารถไฟมาช้า
She'll miss the bus if she doesn't
leave soon. เธอจะไม่ทันรถเมล์ถ้าไม่ออกจากบ้านตอนนี้
If I see her, I'll tell her. ถ้าพบเขาฉันจะบอกเขา
Zero conditional กับ first
conditional ต่างกันตรงที่ใช้กับสถานการณ์คนละประเภทดังได้กล่าวไปแล้ว
ดูตัวอย่างชัดๆอีกทีนะคะ
Zero conditional: If you sit in the
sun, you get burned. (ใครก็ตามที่) นั่งตากแดดจะผิวไหม้
First conditional: If you sit in the
sun, you'll get burned. ถ้าเธอนั่งตากแดดผิวเธอจะไหม้นะ
แบบที่ 3 :
SECOND Conditional Sentences คือ First
conditional ใช้พูดถึงสิ่งที่ผู้พูดคาดคะเนว่าจะเกิดขึ้น
แต่ Second conditional จะใช้พูดถึงสิ่งที่ผู้พูดคิดว่าไม่น่าจะเกิดขึ้น เช่น
First conditional: If she studies
harder, she'll pass the exam. ถ้าเธอตั้งใจเรียนมากขึ้นเธอจะสอบผ่าน (คิดว่าเป็นไปได้)
Second
conditional: If she studied harder, she would pass the exam. ถ้าเธอตั้งใจเรียนมากขึ้นเธอคงสอบผ่าน
(แต่ผู้พูดไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ คือ คิดว่าเธอคงไม่ตั้งใจมากขึ้น
และเธอคงสอบไม่ผ่าน)
ประโยคแบบ second conditional นี้ใช้ If + past simple คู่กับ would + infinitive ค่ะ
if + past simple, ...would +
infinitive
(สังเกตว่าอนุประโยคที่ต่อหลัง if ถ้าคำกิริยาเป็น verb
to be จะใช้ were
ได้กับประธานทุกตัว
เช่น If I were you… ถ้าฉันเป็นเธอ… แต่จะใช้ was ตรงตามประธานก็ได้ค่ะ)
วิธีใช้
- ใช้พูดถึงความใฝ่ฝันว่าอยากให้เกิดขึ้นในอนาคตแต่อาจไม่เกิดขึ้นก็ได้
เช่น
If I won the lottery, I would buy a
big house. ถ้าถูกล็อตเตอรี่จะซื้อบ้านหลังใหญ่
(ซึ่งคิดว่าคงไม่ถูกล็อตเตอรี่หรอก)
If I met the Queen of England, I
would say hello. ถ้าได้พบราชีนีอังกฤษฉันจะกล่าวสวัสดี
She would travel all over the world
if she were rich. เขาจะเที่ยวรอบโลกถ้ามีเงินมากๆ
She would pass the exam if she ever
studied. เธอคงจะสอบผ่านหรอกถ้าเธอได้เคยอ่านหนังสือบ้าง
(ซึ่งจริงๆไม้อ่านเลย)
- ใช้พูดถึงเหตุการณ์ในปัจจุบันที่เป็นไปไม่ได้เลย ไม่จริงเลย เช่น
If I had his number, I would call
him. ถ้ามีเบอร์เขาฉันจะโทรหาเขา
(แต่จริงๆฉันไม่มีเบอร์เขา)
If I were you, I wouldn't go out
with that man. ถ้าฉันเป็นเธอฉันจะไม่ไปเที่ยวกับเขา
ประโยค second conditional ต่างกับ first conditional ตรงที่แบบนี้มีความเป็นไปได้น้อยมาก เช่น
Second conditional: If I had enough
money I would buy a house with twenty bedrooms and a swimming pool. ถ้ามีเงินพอฉันจะซื้อบ้านที่มีห้องยี่สิบห้องกับสระว่ายน้ำ
(ซึ่งคงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เป็นแค่ฝัน)
First conditional: If I have enough
money, I'll buy some new shoes. ถ้ามีเงินพอฉันจะซื้อรองเท้าใหม่ (มีความเป็นไปได้มากกว่ามาก)
แบบที่ 4 :
THIRD Conditional Sentences ประโยค conditional แบบสุดท้ายใช้ If +
past perfect (subject + had + V3) คู่กับ would have + V3 ค่ะ
if + past perfect, ...would + have +
past participle
ประโยคแบบนี้ใช้พูดเกี่ยวกับอดีตที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง
ว่าถ้าเกิดขึ้นแล้วจะเป็นอย่างไร
If she had studied, she would have
passed the exam. ถ้าเขาอ่านหนังสือ
เขาคงสอบผ่านไปแล้ว (ซึ่งจริงๆผู้พูดรู้ว่าไม่ได้อ่านและสอบตก)
If I hadn't eaten so much, I
wouldn't have felt sick. ถ้ากินไม่มากฉันคงไม่ป่วย (แต่จริงๆฉันกินเยอะ จึงป่วย)
If we had taken a taxi, we wouldn't
have missed the plane. ถ้าเราขึ้นแท็กซี่มาเราคงไม่ตกเครื่องบิน
She wouldn't have been tired if she
had gone to bed earlier. เธอจะไม่เพลียถ้าเข้านอนเร็วกว่านี้
She would have become a teacher if
she had gone to university. เธอคงจะเป็นครูถ้าเธอเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย
He would have been on time for the
interview if he had left the house at nine. เขาคงมาสัมภาษณ์ทันเวลาถ้าออกจากบ้านตอนเก้าโมง
5. MIXED Conditional Sentences
นอกจากนั้นยังมีการนำ conditional sentences สองแบบมาผสมกันอีกด้วยค่ะ
โดยมากใช้เวลาพูดถึงสิ่งที่ไม่เป็นความจริงในอดีตที่มีความสัมพันธ์กับปัจจุบัน
เช่น
She would be a rich widow now if
she’d married him. เธอคงจะได้เป็นแม่หม้ายเศรษฐีไปแล้วถ้าเธอแต่งงานกับเขา
(ตอนนั้นไม่แต่งกับเขา ตอนนี้เลยไม่ได้เป็นแม่หม้ายเศรษฐี)
If I’d studied law, I’d be an
attorney now. ถ้าตอนนั้นเรียนนิติตอนนี้ฉันก็คงจะเป็นทนายความแล้ว
จากที่ข้าพเจ้าได้ฝึกทำ vocabulary
size (vs) ในอินเตอร์เน็ต
ซึ่งเป็นเว็บที่เกี่ยวกับการวัดความรู้คำศัพท์ในชีวิตประจำวันของเราแบบไม่มีค่าใช้จ่าย
เมื่อเข้าไปในเว็บไซต์จะต้องเลือกภาษาพื้นเมืองของเราด้วย (native
language) เมื่อเลือกเสร็จแล้ว ถัดไปสามารถกดเริ่มทดสอบได้เลย ในโปรแกรมจะให้แบบทดสอบมา 180 ข้อ 5
ตัวเลือก ข้าพเจ้าได้เข้าไปทำแบบทดสอบทั้งหมดแล้ว
และพบว่ามีคำศัพท์ใหม่ๆหลายคำที่ไม่เคยใช้หรืออ่านเจอมา ทำให้ตอนทำการทดสอบก็ต้องเดาไปหลายคำ
คะแนนที่ได้ออกมาจึงไม่ค่อยดี ข้าพเจ้าทำได้เพียง 2,500 คำ ซึ่งในชีวิตจริงเราจะต้องรู้คำศัพท์ทั้งหมดมากกว่า 5,000 คำ
ดังนั้นข้าพเจ้าจะพยายามฝึกฝนอ่านหนังสือที่มีคำศัพท์ใหม่ๆเพื่อเพิ่มทักทักษะด้านการอ่านได้อีกด้วย