Learning Log (นอกห้องเรียน)
(Oct 13th ,2015)
การฝึกทักษะภาษาอังกฤษโดยการฟังภาพยนตร์ฝรั่งค่อนข้างเป็นทักษะที่ยาก
เพราะว่าตอนเราดูภาพยนตร์นั้นเราจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดกันทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก ตอนเราดูหนังในโรงเราจะอ่านส่วนที่ซับไตเติ้ลภาษาไทยด้านล่างของจอ
อย่างน้อยจะทำให้เข้าใจระดับหนึ่งทำให้ได้ความบันเทิงแต่ขาดความรู้ทางด้านภาษา
เรียกว่าปีๆหนึ่งเล่นไปนั่งดูมันหลายสิบเรื่องไม่คุ้มค่าต่อเวลาที่เสียไป
การดูหนังเพื่อพัฒนาภาษาของผู้ดูนั้นเป็นการทำให้ผู้ฟังรู้สึกดีกับสิ่งที่กำลังทำอยู่
เพราะความจริงที่แสนจะเจ็บปวดก็คือว่า
คนที่พยายามดูหนังฝรั่งแล้วคิดว่าจะเรียนรู้อะไรเพิ่มเติมนั้นก็จะได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น
ยิ่งไม่รู้อะไรเลยจะทำให้เวลาเราพูดภาษาไทยกับเพื่อนหรือคนใกล้ชิด
เราก็ใช้ภาษาในลักษณะนี้แหละเช่น Get out of here! ไปให้พ้น It
sucks. มันห่วยแตก
นี่คือคำพูดที่เข้าใจไม่ยากเพราะในอารมณ์หนังที่เราดูมันก็อยู่ในลักษณะเดียวกันทุกเรื่อง
อาการไม่พอใจ โกรธ บ้า เพราะอารมณ์เหล่านี้คืออารมณ์พื้นฐานของมนุษย์ทุกคน
ซึ่งไม่ใช่ไม่ดีแต่มันเป็นความหลากลายของภาษา ในแง่ของวิธีใช้
การใช้คำพูดที่ใหม่ๆศัพท์เก๋ๆ เรียกว่าไม่ตกสมัยก็ว่าได้
ใครที่ต้องการภาษาดีๆสวยงาม
มันก็มีหนังในยุคของเขาให้ดู เช่น หนังศึกสงคราม หนังในเชิงรักแบบสมัยก่อนนั่นเลย
คนที่ต้องการภาษาแบบนั้นก็ต้องไปดูหนังเช่นนั้น หากใครอยากดูหนังประเภทใด
เราก็เลือกดูหนังประเภทนั้นๆได้ เช่น ดูหนังเรื่องสี่แผ่นดิน
เราก็จะได้ความงามของภาษาในรูปแบบหนึ่งไม่ว่าจะเป็นเอกลักษณ์ในการใช้คำหรือคำที่ใช้
สำนวนแปลกๆ ภาษาของภาพยนตร์จะเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย
ในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วก็มีภาษาใหม่ๆเกิดขึ้นอีกมากมายเพราะโลกเราไม่หยุดนิ่ง
ภาษาอังกฤษจากภาพยนตร์เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยากคือ
มันมีเรื่องของวัฒนธรรมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย และหากเราไม่เข้าใจวัฒนธรรมของเขา
เราก็จะเข้าใจเรื่องที่เขานำเสนอมาได้อย่างรวดเร็วไม่ครบตามที่ควรจะเป็น
แต่เรื่องนี้ไม่ต้องสนใจมากหรอก
เพราะไม่ว่าเราจะไปเรียนต่างประเทศหรือเรียนภาษาอังกฤษมามากแค่ไหนก็ตาม
เราก็ไม่สามารถเข้าใจส่วนนี้ได้
เพราะหากว่าเราไปใส่ใจวัฒนธรรมของเขามากเราก็จะพลาดสิ่งดีๆที่ภาพยนตร์พยายามสื่อให้เรารู้ไป
ในปัจจุบันนี้มนุษย์คิดหาอุปกรณ์ที่ทันสมัยไว้มากมาย เราก็เอาคอมพิวเตอร์
วีซีดี พวกนี้แหละมาใช้ เช่น ซื้อภาพยนตร์มาสักเรื่องหนึ่งแบบมีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
รอบแรกเราดูเอามันส์ก่อน อย่าไปสนใจภาษาจะดูกี่รอบก็ได้
แต่เราก็ต้องรู้ตัวเองก่อนว่า ดูหนังเพื่ออะไรก่อน
ถ้าเราจะดูเอามันส์จะดูแบบภาษาไทยหรือพากย์ก็แล้วแต่
หากต้องการดูเอาภาษาก็ต้องแบบทรมานหน่อย รอบที่สองดูแบบที่มีภาษาไทยอยู่ข้างล่างใต้ภาพแล้วจดสิ่งที่ตัวละครพูด
เรียกว่าดูไปเรื่อยๆหากดูแล้วเครียดก็หยุดพัก
-
You guy can. you can talk him out of
it. คุณพูดได้ คุณพูดให้เค้าเปลี่ยนใจได้
สำนวนที่เขาต้องการให้เราจดจำคือ to talk + คนใดคนหนึ่ง + out of it นั้นหมายถึง พูดโน้มน้าวให้คนๆนั้นเปลี่ยนใจได้ เช่น
เขาพยายามพูดให้ฉันเปลี่ยนใจ ก็ไปใช้ He is trying to talk me out of it. อย่ามาถามนะ it คืออะไร
มันคือความยุ่งยากหรือเรื่องที่กำลังเป็นปัญหาอยู่นั่นไง
-
Don’t interrupt me! อย่าขัดจังหวะฉัน
-
A: Go away! ออกไป (เอาไว้เล่า)
B: Please let me in. ให้ฉันเข้าไปเถอะ
จากประโยคข้างบน เขาใช้ง่ายๆว่า let + ใครก็ตาม + in โดยที่ไม่ต้องใช้แบบเดิมๆว่า
Let me enter. ทั้งยาวและเชย
-
The sooner you learn it, the better.
ยิ่งเรียนรู้ได้เร็วยิ่งดี
และประโยคนี้ก็ดี พูดต่อกันไปเลย เพราะเรื่องบางเรื่องยิ่งให้รู้เร็วก็ยิ่งดี
-
Fight back! สู้เขาสิ
สำนวนนี้มาจาก to fight อันนี้มีคำว่า back ก็หมายถึง สู้กลับไป ก็คือ
สู้เขานะ
สุดท้ายนี้
หากเจอสถานการณ์ใดที่อยากสื่อความคิดแต่สื่อไม่ได้ถอยไปสองก้าวเพื่อเริ่มใหม่ไปจัดการกับตัวเอง
เชื่อเถอะว่าฝรั่งที่เขาต้องการความช่วยเหลือมีอีกมากมายในโลก
พวกที่ฝรั่งอยากวิ่งหนีก็คือ
พวกที่คอยแต่อยากจะเข้าไปฝึกภาษาอังกฤษกับเขาเพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้คิดที่จะช่วยอะไรเขาเลย
ฝรั่งส่วนใหญ่ชอบความเป็นส่วนตัว ทีนี้พอเราต้องการจะพัฒนาความรู้ด้านไหน
เราก็ไปอ่านศึกษาค้นคว้าความรู้นั้น แล้วค่อยเอาไปพูดกับฝรั่ง
แบบนี้แหละฝรั่งจะไม่เบื่อ เราก็มีโอกาสพัฒนาภาษาของเราด้วย เมื่อเวลาพูดอย่าคาดหวังว่าถูกไวยากรณ์ทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์
เพราะหากเราเอาเวลาไปสนใจในส่วนที่เหลือนั้นมากจนเกินไป
เราจะพัฒนาตัวเองในด้านอื่นยัง หากเรามั่นใจและฝึกฝนบ่อยๆ
จะทำให้เราพัฒนาขึ้นเราควรพัฒนาทักษะให้ครบทุกด้านในอนาคตที่คุณจะเป็นคนเก่งอย่างแน่นอน
-
A break from us. หยุดการเป็นแฟนกัน
สำนวนนี้ดี เพราะสั้นแต่ได้ใจความ
คำว่า A break คือ การหยุดทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงช่วงหนึ่ง
แต่เอาคำ from us ก็เลยทำให้เห็นภาพว่า หยุดความเป็นเรา
ซึ่งก็คือ หยุดการคบกันนั่นเอง
-
I’m having a conversation. ฉันกำลังพูดคุยกันอยู่
สำนวนว่า to have a conversation เป็นสำนวนที่หรูหรากว่า I’m
talking.
-
I want to work on it. ฉันต้องการแก้ไขมัน
หากสังเกตให้ดีก็จะเห็นได้ว่า สำนวน to work out ที่เจอเมื่อตะกี้นี้ทำไมมาเป็น to
work on ได้ยังไงก็ต้องการบอกซอว่าได้ซิ ทำไมมันจะเกิดขึ้นไปไม่ได้
เพราะมันเป็นคนละความหมาย คำว่า to work on + อะไรก็ตาม
มันจะหมายความว่า คุณกำลังดำเนินการกับเรื่องๆนั้นอยู่ต้องการจะแก้ไข
มันทำอะไรทำนองนั้น เช่น I’m working on my computers. ฉันกำลังทำงานกับคอมพิวเตอร์อยู่
-
A: How was the date with that guy? เป็นไงบ้าง ออกไปเที่ยวกับพ่อหนุ่มคนนั้น (เป็นการถามไถ่ความคืบหน้า
เราก็สามารถใช้ได้ว่า How was the date with that girl?)
B: Great. / Great personality. เยี่ยม,บุคลิกเยี่ยมมาก
-
I know it’s dumb. ฉันรู้สึกว่ามันงี่เง่า
คำว่า dump ธรรมดา หมายถึง คนที่เป็นใบ้ เช่น He is
deaf and dump. เขาเป็นคนหูหนวกและแบ๊ะๆ
-
Don’t sleep on it!
อย่ามัวเสียเวลาคิดกับมันอยู่เลย
สำนวนนี้ก็ดี เขาเอาคำว่า to sleep on + ความคิด ก็จะหมายถึง หลับอยู่บนความคิดนั้น
ก็คือ คิดอยู่กับมันแต่เขาจะเอามันมาใช้ในความหมายปฏิเสธว่า
อย่าไปมัวเสียเวลานอนคิดมันอยู่เลย
-
One more humiliation. ขายหน้าอีกครั้ง
สำนวนนี้ดี เวลาเรารู้สึกขายหน้า
เราก็ใช้คำนี้แหละ มันอ่านว่า ฮิวมิลิเอชั่น อย่าไปใช้คำว่า sell face เดี๋ยวฝรั่งมันมาขอซื้อไม่รู้ด้วย
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเริ่มต้นด้วยความคิดเห็นที่จะเรียนรู้ก่อน
จากนั้นก็ต้องลงมือทำในสิ่งที่คิด เมื่อลงมือทำในสิ่งที่คิด
เมื่อลงมือทำแล้วเราก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ถูกหรือผิด เราต้องเรียนรู้เพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไขตัวเอง
เพราะทุกอย่างในโลกคือ การพัฒนาเรียนรู้ทั้งสิ้น
ขอเพียงรับรู้ว่าเราได้พัฒนาตัวเองในแต่ละวันที่ผ่านไป
เราก็สามารถเรียกตัวเองได้ว่าเป็นผู้เรียนรู้ประสบผลสำเร็จแล้ว
ดูตัวอย่างการเรียนรู้
สมมติคุณอ่านประโยคนี้
เฮ้อ ! ฉันจำได้ว่าฉันจะต้องไปแล้ว
-
Oh! I remember I have to leave.
สำนวน have
to + กริยา ใช้เมื่อต้องการจะหมายความว่า ต้องทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
หรือ เฮ้อ ! ฉันจำได้ว่าฉันต้องพูดเรื่องนี้กับเธอ ก็จะใช้ว่า
-
Oh! I remember I have to talk to you
about this.
สำนวนนี้ใช้เมื่อผู้พูดต้องการจะสื่อว่าจำได้
นึกได้ว่าจะต้องทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
-
Don’t get mad! อย่าโกรธนะ
สำนวนในภาษาไทยที่เราคุ้นเคย angry โกรธนั้นเป็นคำที่ใช้กน แต่คำว่า mad นั้นเป็น คำนิยมใช้ในภาษาพูดมากกว่า เช่น I’m getting mad at him. ฉันกำลังโกรธเขาอยู่ และส่วนใหญ่ก็ใช้กับกริยา to get ด้วย เช่น
-
She got mad. หล่อนโกรธ
-
That’s all I have so far. ตอนนี้ก็มีแค่นี้แหละ
สำนวนนี้ใช้บรรยายว่า สิ่งที่คนๆนั้นคิดออกหรือทำมีอยู่เท่านี้
สำนวนว่า That’s all. ก็คือ นั่นคือทั้งหมด เช่น That’s
all I have to do. นั่นคือ ทั้งหมดที่ฉันต้องทำ เป็นต้น
-
He’s kind of cute/handsome. เขาเป็นคนหล่อ
สำนวนว่า kind of เป็นคำพูดที่ติดปากคนอเมริกันเลย หมายถึง
แบบว่า ในภาษาไทย อ่านว่า คาย เนิฟ คำนี้เวลาใช้นั้น
เราเอาไปวางไว้หน้าคำคุณศัพท์หน้าคำนาม
หรือหน้าคำที่เราต้องการสื่อสิ่งที่เราต้องการ
เหมือนเป็นการสื่อว่าผู้ต้องการแสดงความคิดเห็นของตัวเองในลักษณะที่ผู้พูดคิดและไม่รู้ว่าผู้ฟังจะรู้สึกตามหรือไม่
เช่น มันเป็นโครงการแบบว่าทดลอง
-
It’s (kind of) a pilot project. ซึ่งจริงๆแล้ว ก็คือ It’s a pilot project. นั่นเอง
-
She is kind of sexy. หล่อนเป็นคนเซ็กซี่
-
I completely understand you. ฉันเข้าใจเธออย่างสุดๆเลย (เข้าใจทุกอย่าง) ดูจากการเอาคำว่า completely
ไปขยาย understand
เมื่อดูฉากตอนไปนอน เขาจะพูดว่า Good night. ซึ่งก็คือไปนอนแล้วนะ นอนหลับฝันดี
เขาจะพูดว่า Have sweet dreams. คุณก็จดแล้วเอามาฝึกกับเพื่อนคุณ
โดยที่ให้ดูไปพร้อมๆกับเพื่อนมาช่วยกันฟังเขาพูดว่าอะไร แล้วก็ออกเสียงตาม
ตัวละครจะพูดสำนวนเดียวกันนี้แตกต่างกัน
ให้ผู้ดูมีโอกาสได้เจอของจริงผ่านทางภาพยนตร์แล้วเลียนแบบถือเป็นการสิ้นสุดกระบวนการเรียนรู้ในเบื้องต้น
เมื่อทุกคนออกเสียงเป็นแล้ว เข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดีแล้ว จากนั้นก่อนที่เพื่อนของคุณจะเข้านอนก็พูดเข้าไปสิทุกๆคืน
รับรองว่า คุณต้องเรียนรู้ได้แน่ หมดยุคแล้วที่จะอายสมัยนี้
คือสมัยของการเปลี่ยนแปลง ธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงคือ ความเหนื่อย
แต่เป็นความเหนื่อยที่คุ้มค่า เพราะหากมันเป็นความเหนื่อยที่ร่วมแรงใจกันทำ
ชาวต่างชาติหรือฝรั่งที่เห็นอยู่บนโลกใบนี้
ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษเป็นกันทุกคน พวกที่มาจากทวีปยุโรปแถบเยอรมัน ฝรั่งเศส
เบลเยี่ยม และอีกมากมาย พวกนี้เขาใช้เวลาเรียนรู้ภาษาไม่มากเหมือนเด็กไทย
หากเป็นการเรียนรู้ภาษาที่ถูกต้องแล้ว คนไทยเก่งไปนานแล้ว เขียนไม่ได้อ่านไม่ออกคนที่สอนภาษาอังกฤษที่เป็นคนไทยรู้ปัญหานี้ดีแต่พูดไม่ได้
เพราะการที่สอนแล้วไม่สามารถทำให้ผู้เรียนเข้าใจได้
และตัวผู้สอนเองก็ไม่สามารถพูดเต็มปากหรอกว่า ตัวเองนั้นเก่งเพียงใด
เขารู้ในสิ่งที่ฝรั่ง เขาพูดเขาเขียนไปหมด เราจึงไม่ได้เห็นตำราภาษาอังกฤษที่ผลิตโดยคนไทยในเชิงวิชาการต่างๆนั่นไง
บางคนบอกว่าเห็นฝรั่งแล้วกลัวเพราะฝรั่งตัวใหญ่
เราไม่ต้องไปกลัวความเป็นธรรมชาติของคน เพราะความตัวใหญ่ไม่ได้ทำร้ายอะไรเรา
คนเรามันวัดกันที่จิตใจไม่ใช่ที่ตัว
การพูดภาษาอังกฤษให้ได้นั้นไม่เกี่ยวกับรูปร่างหน้าตา คนไทยที่พยายามพูดภาษาอังกฤษแล้มีแต่ความกล้า
ดีกว่าคนไทยที่พยายามพูดให้ถูกต้องทั้งหมดแล้วสื่อในสิ่งที่พูดไม่ได้
อย่าเอาเวลายึดติดกับไวยากรณ์ให้มาก แต่จงใช้เวลาไปเรียนรู้คำศัพท์สำนวนใหม่ๆ
ผู้เรียนรู้ความผิดพลาดได้จากประสบการณ์และเขาจะต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต
อุปสรรคที่สำคัญไม่แพ้กันของผู้ที่เรียนภาษาอังกฤษในเมืองไทยก็คือคอยจับผิดกัน
และสำคัญมันเป็นแบบนั้นทั้งสังคม
นี่คือพวกชอบทำลายเพราะเห็นว่าตัวเองพูดไม่ได้ก็อย่าพูดได้เลย
ลองเปลี่ยนความคิดมุมมองของตัวเองใหม่ว่า จากนี้เราจะพูดภาษาอังกฤษแบบใหม่ ศึกษาสำนวนให้มากแล้วกล้าใช้
ดูภาพยนตร์ให้มากเท่าที่จะทำได้ จากนั้นก็จะใช้ตามที่ตัวละครเขาพูด
ข้อสำคัญที่ทำให้คนไทยไม่กล้าพูดเพราะขาดความรู้ด้านคลังคำศัพท์
เราต้องพยายามอ่านสิ่งพิมพ์หรือหนังสือที่เป็นภาษาอังกฤษมากๆ เรียนรู้วันละ 2-3 ประโยคใหม่ๆที่เป็นประโยคมีโอกาสใช้กันบ่อยๆ
ไม่ว่าจะเป็นอุปสรรคใดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษผ่านทางภาพยนตร์รู้ไว้ก็คือ
การจะได้ภาษาของเขามานั้นมันต้องทำแบบนี้เลย
ไปเช่าหนังที่มีภาคอังกฤษแต่มีซับไตเติ้ลเป็นภาษาไทย
ดูแรกอาจจะลำบากหน่อยและถึงแม้ว่ามันจะใช้เวลามากแต่ก็คุ้มค่าต่อการดู