MODEL1: Relations between ideas
Essay คือ
เรียงความหรือบทความซึ่งเขียนโดยใช้ภาษาอังกฤษ มีรายละเอียดในการเขียน ดังนี้
ขั้นตอนในการเขียน
Essay
1. Planning : เมื่อทราบหัวข้อในการเขียน Essay
แล้ว ขั้นตอนแรก คือ การจัดระบบความคิด กำหนดกรอบเนื้อหา โดยต้องตัดสินใจว่าจะพูดเกี่ยวกับอะไรบ้าง
และพูดอย่างไร โดยเนื้อหาที่คิดว่าจะพูดเหล่านั้น
ต้องไปด้วยกันได้และไม่หลงประเด็นออกนอกเรื่อง
2. Drafting : ขั้นตอนที่สอง
ต้องนำกรอบเนื้อหาที่ตัดสินใจว่าจะเขียนจากในข้อ 1
มาลองร่างดูให้เกิดเป็นเค้าโครงคร่าวๆของ Essay ขึ้น
โดยมีการเรียงลำดับให้เค้าโครงเนื้อหาเหล่านั้นดูกลมกลืนลื่นไหล
ไม่กระโดดไปกระโดดมาค่ะ
3. Writing : ขั้นตอนที่สามอันสำคัญยิ่ง คือ
การลงมือเขียน Essay ตามที่ได้ร่างเอาไว้
ซึ่งรายละเอียดเกี่ยวกับโครงสร้างส่วนต่างๆของ Essay จะกล่าวไว้ในหัวข้อถัดไปนะคะ
4. Editing : ขั้นตอนที่สี่
เป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าขั้นตอนที่สาม
เนื่องจากเป็นขั้นตอนของการแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ ตรวจทานให้ Essay ที่เราเขียนมีความสมบูรณ์มากที่สุด
พร้อมที่จะออกไปสู่สายตาประชาชนได้อย่างเต็มภาคภูมิ
โครงสร้างของ Essay ประกอบไปด้วย 3 ส่วนใหญ่ๆดังนี้
1. Introduction: เป็นย่อหน้าแรกของ Essay ใช้ในการเปิดเรื่อง Introduction ที่ดี ควรจะสามารถดึงดูดใจให้ผู้อ่านสนใจและอยากจะอ่าน Essay ของเราต่อจนจบ โดยภายใน Introduction มี Thesis Statement ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับ Title ที่กำหนดไว้ Thesis Statement เป็นประโยคสำคัญที่บอกให้ผู้อ่านทราบว่า Essay เรื่องนี้ต้องการจะกล่าวอะไร
1. Introduction: เป็นย่อหน้าแรกของ Essay ใช้ในการเปิดเรื่อง Introduction ที่ดี ควรจะสามารถดึงดูดใจให้ผู้อ่านสนใจและอยากจะอ่าน Essay ของเราต่อจนจบ โดยภายใน Introduction มี Thesis Statement ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับ Title ที่กำหนดไว้ Thesis Statement เป็นประโยคสำคัญที่บอกให้ผู้อ่านทราบว่า Essay เรื่องนี้ต้องการจะกล่าวอะไร
2. Body: ย่อหน้าถัดไปของ Essay เป็นส่วนของเนื้อหาที่เราต้องการจะกล่าวเพื่อสนับสนุน Thesis Statement ของเรา ในส่วนเนื้อหาจะต้องมีใจความหลักหรือ ‘Main idea’ ในทุกๆ ย่อหน้า และในแต่ละย่อหน้านั้น จะมีเพียง ‘Main idea เดียวเท่านั้น โดยแต่ละ Main Idea จะต้องสอดคล้องกับ Thesis Statementของเราด้วย และเราจะต้องเขียนเหตุผลที่จะคอยสนับสนุน ‘Main idea ของเรา หรือที่เรียกว่า Supporting Idea ซึ่งควรมีอย่างน้อย 2 เหตุผล และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เราต้องยกตัวอย่างเหตุการณ์ให้ทฤษฎีต่างๆ มาอธิบายประกอบด้วย
2.1) Main Idea 1 ประกอบด้วย Supporting
Idea 1.1 และ Supporting Idea 1.2 โดย Supporting
Idea 1.1 และ Supporting Idea 1.2 จะต้องสอดคล้องกัน
เพื่อใช้ในการสนับสนับ Main Idea 1
การเขียน Main Idea 1
จะต้องเริ่มด้วยประโยคสรุปใจความสำคัญ จากนั้นจึงอธิบาย Supporting Idea นั้นๆให้เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น และอาจมีการยกตัวอย่างประกอบเพื่อความเข้าใจ
2.2) Main Idea 2 ประกอบด้วย Supporting
Idea 2.1 และ Supporting Idea 2.2 โดย Supporting
Idea 2.1 และ Supporting Idea 2.2 จะต้องสอดคล้องกัน
เพื่อใช้ในการสนับสนับ Main Idea 2
การเขียน Main Idea 2
จะต้องเริ่มด้วยประโยคสรุปใจความสำคัญ จากนั้นจึงอธิบาย Supporting Idea นั้นๆให้เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น และอาจมีการยกตัวอย่างประกอบเพื่อความเข้าใจ
2.3) Main Idea 3 ประกอบด้วย Supporting
Idea 3.1 และ Supporting Idea 3.2 โดย Supporting
Idea 3.1 และ Supporting Idea 3.2 จะต้องสอดคล้องกัน
เพื่อใช้ในการสนับสนับ Main Idea 3
การเขียน Main Idea 3จะต้องเริ่มด้วยประโยคสรุปใจความสำคัญ
จากนั้นจึงอธิบาย Supporting Idea นั้นๆให้เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น
และอาจมีการยกตัวอย่างประกอบเพื่อความเข้าใจ
3.
Conclusion: ย่อหน้าสุดท้ายของ Essay เป็นการสรุปสิ่งที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด
โดย Conclusion ที่ดีควรเน้นย้ำ Thesis Statement หรือ Main Idea ให้เกิดความชัดเจนในใจของผู้อ่าน
ไม่ควรเขียนออกนอกเรื่อง
เรียงความ(Essay) เป็นการถ่ายทอดความคิดและความเข้าใจของผู้เขียนโดยสื่อออกมาเป็นตัวอักษร
หลักในการเขียนเรียงความคือจะต้องเขียนไปทิศทางเดียวกันทั้งเรื่อง เพราะฉะนั้นการเข้าใจโครงสร้างของ Essay จึงเป็นหัวใจหลักสำคัญที่จะทำให้งานเขียนของเรามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
งานเขียนที่ดีนั้นจะต้องมีครบทั้ง 3 องค์ประกอบ ซึ่งได้แก่ ส่วนแรกคือ Introduction หรือบทนำ จะเป็นส่วนที่จะบอกให้ผู้อ่านทราบเบื้องต้นว่าเรียงความนี้จะ
กล่าวถึงเรื่องอะไร ส่วนที่สอง คือ Body หรือเนื้อความ เป็นส่วนที่รวมเนื้อหา
ใจความสำคัญของเรียงความไว้ และส่วนสุดท้ายคือ Conclusion หรือบทสรุป
เป็นการทบทวนและย้ำให้ผู้อ่านทราบว่าผู้เขียนต้องการสื่อสารอะไรให้ผู้อ่าน ทราบ
โดยเนื้อหาเน้นรวบรวมใจความสำคัญจาก Introduction และ Body